QUOTE 

การเลี้ยงกบ

ปอ

การเลี้ยงกบ

เนื่องจากสถานการณ์ความเป็นอยู่ในปัจจุบันที่มีอัตราประชากรมนุษย์เพิ่มขึ้น ๆและปริมาณ ความต้องการในการบริโภคเพิ่มขึ้นติดตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ขณะเดียวกันที่ทรัพยากรธรรมชาติ หรือแม้แต่ผลผลิตทางการเกษตรลดน้อยลงเป็นไปในลักษณะผกผันโดยเฉพาะอาชีพเกษตรกรรมของ พี่น้องเกษตรกรที่ต้องอาศัยความชุ่มชื้นจากธรรมชาติถึง 75% นอกจากนั้นแล้วยังต้องพบกับความผิดหวัง เมื่อจำหน่ายผลผลิตไม่ได้ราคา หรือถูกพ่อค้าคนกลางกดราคารับซื้อสิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นต้นเหตุ ที่ทำให้เกษตรกรต้องขวนขวายหาแนวทางในการประกอบอาชีพใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มรายได้ เช่น การขุดบ่อเลี้ยงปลา การเลี้ยงกบ ฯลฯ แต่สำหรับการเลี้ยงกบนั้น ปัจจุบันเป็นที่สนใจแก่เกษตรกรเป็นอย่างมาก ทั้งนี้เพราะกบเป็นสัตว์ที่เลี้ยงง่าย ใช้เวลาน้อย ลงทุนน้อย ดูแลรักษาง่าย และจำหน่ายได้ราคาคุ้มกับการลงทุน โดยเฉพาะในปัจจุบันมีตลาดต่างประเทศที่ต้องการสินค้ากบเปิดกว้างมากขึ้น กบนาที่เป็นผลผลิตของเกษตรกรเมืองไทยจึงมีโอกาสส่งจำหน่ายไปยังต่างประเทศมากขึ้นเช่นกัน และสาเหตุอีกอย่างหนึ่งที่มีผู้หันมาเลี้ยงกบกันมากขึ้น เพราะปริมาณกบที่อยู่ตามแหล่งธรรมชาติ มีจำนวนลดน้อยลงทุกที ๆเนื่องจากแหล่งที่อยู่อาศัยของมันถูกเปลี่ยนแปลงเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ รวมทั้งการสร้าง โรงงานอุตสาหกรรม การใช้สารพิษกำจัดศัตรูพืช การใช้ยากำจัดวัชพืช กำจัดปูนา ล้วนแล้วแต่มีส่วนทำลายพันธุ์กบในธรรมชาติให้หมดสิ้นไปแต่ละปี ๆ ทั้งนี้รวมทั้งการจับกบมาจำหน่าย หรือการประกอบอาหาร โดยไม่มีการละเว้นกบเล็กกบน้อยเป็นการตัดหนทางการแพร่พันธุ์กบโดยสิ้นเชิงอีกด้วยจากปัญหาดังกล่าวจึงเป็นโอกาสที่ดีที่ทุกท่านจะได้สร้างรายได้จากธุรกิจการเลี้ยงกบกับทางฟาร์มของเรา ซึ่งปัญหาไม่มีตลาดรองรับจะหมดไปเพราะทางเราจะรับซื้อคืนกบทุกตัวที่ท่านนำไปเลี้ยงครับ 1.ข้อคำนึงในการเลี้ยงกบสำหรับผู้เริ่มต้นใหม่ การเลี้ยงกบเป็นอาชีพหนึ่งที่สามารถทำรายได้ให้กับเกษตรกร ซึ่งในการเลี้ยงนั้น ควรมีความเข้าใจถึงวิธีการเลี้ยงที่ถูกต้องก่อนจึงจะทำให้การเลี้ยงประสบความสำเร็จ สิ่งที่เกษตรกรควรคำนึงถึงในการเลี้ยงกบเพื่อเป็นการสร้างรายได้อีกทางหนึ่งนั้น มีดังนี้.- - ความพร้อมในด้านความรู้และการลงทุน - มีตลาดรองรับผลผลิตที่แน่นอน - มีการวางโปรแกรมการผลิตที่ดีเพื่อให้สามารถจำหน่ายในช่วงที่กบมีราคาดี และมีต้นทุนในการผลิตต่ำที่สุด หากเกษตรกรมีความพร้อมดังกล่าวแล้ว ก็สามารถที่จะทำการเพาะเลี้ยงเพื่อสร้างรายได้ อีกทางหนึ่งด้วย หรือหากต้องการคำแนะนำในการเลี้ยงที่มีประสิทธิภาพแล้วก็สามารถขอ รับคำปรึกษา ได้จากเกษตรอำเภอ เกษตรจังหวัด หรือกรมวิชาการเกษตรได้ในพื้นที่ของตนเอง หรือหากต้องการได้คำแนะนำจากผู้มี ประสบการณ์โดยตรงสามารถติดต่อได้ที่ Interfrog ฟาร์มได้ทุกวัน พันธุ์กบ กบที่พบในประเทศไทยนั้นมีถึง 34 ชนิด และในต่างประเทศอีกหลายชนิด ซึ่งรวมแล้ว ไม่น้อยกว่า 100 ชนิด กบบางชนิดมีขนาดที่ใหญ่มาก บางชนิดมีขนาดปานกลางและบางชนิด ก็มีขนาดเล็ก แตกต่างกันไปตามสายพันธุ์ สำหรับผู้ที่สนใจควรเสาะหาพันธุ์เพี่อนำมาเลี้ยงกัน หลาย ๆ ชนิด พันธุ์กบที่จะแน ะนำต่อไปนี้สามารถเลี้ยงได้ในเมืองไทย ซึ่งมีทั้ง กบพันธุ์พื้นเมือง และกบจากต่างประเทศที่มีคุณสมบัติเหมาะกับสภาพภูมิประเทศ ภูมิอากาศในบ้านเรา ดังต่อไปนี้ 1 . กบนา ( Rana tigerina Daudin) เป็นกบขนาดกลางค่อนข้างใหญ่ ตัวที่โตเต็มที่ยาวประมาณ 5 นิ้ว ขนาด ประมาณ 4 ตัว ต่อกิโลกรัม ผิวมีสีน้ำตาลปนเขียว อาจจะแตกต่างกันบ้างตามแหล่งที่ อยู่อาศัย ลักษณะโดยทั่วๆ ไปสังเกตุได้คือ ขาหน้าสั้นอยู่ระหว่างไหล่กับตา ปุ่มกระดูกเท้าล่างไม่แหลมคม มีสีคล้ำและมีลายพาดสีจาง ๆ ตรงริมฝีปาก ใต้คางอาจมีจุดหรือลายริ้วตรงคอหอย ด้านหลังมีสีเขียวอมน้ำตาล มีจุดสีดำเป็นจำนวนมาก 2. กบนา (Rana rugulosa Wiegmann) เป็นกบขนาดกลางตัวที่โตเต็มที่ยาวประมาณ 5 นิ้ว ขนาดประมาณ 6 ตัวต่อ 1 กิโลกรัม ผิวสีน้ำตาลปนดำ อาจจะแตกต่างกันบ้างเล็กน้อยตามแหล่งที่อยู่อาศัย ลักษณะโดยทั่ว ๆ ไปที่สังเกตุได้คือ ขาหน้าและขาหลังมีขนาดยาวปานกลาง ส่วนนิ้วมีแผ่นหนัง ระหว่างนิ้ว เกือบสุดปลาย ปลายนิ้วไม่มีแผ่นยึดเกาะ ปลายนิ้วเท้ามีปุ่มเล็กน้อย ไม่มีปุ่มที่กระดูก ฝ่าเท้า ด้านหลังมีแถบสีดำขาดเป็นตอน ๆ ประมาณ 10 แถว ขอบในดวงตาแคบกว่าเปลือก ตาบน บริเวณหัวและลำตัวส่วนหลังมีสีน้ำตาล ขามีลายพาดขวาง มีสีน้ำตาลตลอด ใต้ดางมีจุดเด่นสีเทา 3. กบภูเขา หรือเขียดแลว (Rana bythii Boulenaer) เป็นกับพื้นเมืองที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ตัวที่โตเต็มที่ขนาดปรมาณ 3 กิโลกรัม ขึ้นไป ชาวบ้านเรียกกันอีกชี่อหนึ่งว่า กบคลอง ตามแหล่งอาศัย ลักษณะโดยทั่ว ๆ ไป ที่สังเกตุได้คือ ปลายนิ้วโป้งนิ้วขาหน้าแยกออกจากกัน ผิวหนังด้านข้างไม่นูนโป่ง ไม่ม็ถุงลม ไม่มีแผ่นหนังที่นิ้วขาหน้าอันแรก ซึ่งยาวกว่านิ้วอันที่สอง แก้วหูห่างจากตาเป็นระยะทาง มากกว่าเส้นผ่าศูนย์กลางของตา กบเพศผู้จะมีเขี้ยวออกจากขากรรไกรล่างยืนยาว ส่วนเพศเมีย จะสั้นกว่า มีตาโต ในบางท้องที่อาจมีเส้นพาดกลางหลัง จากริมฝีปากถึงส่วนก้น บางแหล่งไม่มี ที่ขามีลายพาดสีน้ำตาลเข้มตลอด ลำตัวมีสีน้ำตาลแดงหรือดำ ใต้คาง ใต้ท้องมีสีขาว-เหลือง ริมฝีปากบนและล่างมีจุดสีดำ พบมากแถบภาคเหนือและภาคใต้ 4. กบบูลฟรอค (Rana catesbeiana show) เป็นกบที่มีขนาดใหญ่ที่สุด เข้าใจว่าใหญ่ที่สุดในประเทศสหรัฐอเมริกา โตเต็มที่มีน้ำหนัก มากกว่า 1 กิโลกรัมขึ้นไป ตัวที่โตมีความยาวถึง 8 นิ้ว ลำตัวกว้าง ส่วนหัวสีเขียว ส่วนหลัง มีสีน้ำตาลเขียว ส่วนท้องมีสีขาวเหลือง ผิวหนังขรุขระมีปุ่มขนาดเล็กๆ วิธีเลี้ยงกบ การเลี้ยงกบในปัจจุบัน ลูกกบที่นำมาเลี้ยงได้มาจาก 2 แหล่ง คือ 1. ลูกกบจากธรรมชาติ เป็นการรวบรวกบที่มีอยู่ในธรรมชาติมาเลี้ยงในบ่อ จนกระทั่งได้ขนาดก็จับขาย ามารถแบ่งเป็นขั้นตอนได้ดังนี้ 1.1 การรรวบรวมลูกอ๊อดและการอนุบาล ทำการรรวบรวมไข่กบที่ผสมแล้ว จากแหล่งน้ำธรรมชาติมาพาะฟักและอนุบาลในบ่อที่ เตรียมไว้ หรืออาจช้อนลูกอ็อดถบที่พบเห็น อยู่ตามธรรมชาติมาเลี้ยงล หรือโดยการจับพ่อพันธุ์ แม่พันธุ์กบ ในช่วงต้นฤดูฝนมาเลี้ยงในบ่อเพื่อ ให่ผสมพันธุ์กันและออกไข่ในบ่อเลี้ยง ป็นต้น อุปสรรดส่าคัญของการจับลูกอ๊อดมาเลี้ยงก็คือ มักจะมีลูกอ๊อดของเขียด หรือคางคกปะปนมาด้วยผู้จับจึงต้องมีความรู้และความชำนาญในการเลือก ข้อสังเกตุง่าย ๆ คือ หัวลูกอ๊อตเขียดจะแหลมกว่าหัวลูกอ๊อดกบ ขนาดตัวก็เล็กกว่ารวมทั้งลายที่หลังและเส้นขาวที่ พาด ตามลำตัวก็ไม่เหมือนกัน สีที่ด้านหลังและส่วนท้องก็แตกต่างกัน และถึงแม้จะเป็นลูกอ็อด กบ แต่กบก็มีหลายชนิด เช่น กบบัว ชี่งมีขนาดโตเต็มที่เพียงแค่ 15 กรัม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ ประสบการณ์ของผู้เลี้ยง การรวบรวมลูกกบจากธรรมชาติเพื่อนำมาเลี้ยงมีหลายวิธีเช่น 1.1.1 การจับด้วยมือเปล่าโดยใช้ไฟฉายหรือตะเกียงส่องแล้วใช้มือตะปบ จับใส่ถุงผ้าที่สะพาย ติดตัวไป 1.1.2 การจับด้วยแห จะใช้แหที่มีตาถี่ ทอดเหวี่ยงโดยวิธีเดียวกับการจับปลา 1.1.3 การจับด้วยการขุดหลุมดัก ทำหลุมลึกประมาณ 1 เมตรในบริเวณ ที่มีลูกกบชุกชุม ก้นหลุมวางอาหารผสมหรืออาหารหมักล่อไว์ในตอนเย็น ปากหลุมราดน้ำให้ เปียกชุ่มปรับให้เรียบและลื่นเป็นมัน ลูกกบจะมากินอาหารในตอนกลางคืนแล้วไม่สามารถขึ้น จากหลุมได้ ในตอนเช้าจึงมารวบรวมลูกกบ อย่าปล่อยทิ้งไว้ข้ามวันลูกกบจะมีโอกาสตายได้มาก 1.1.4 การจับด้วยเครื่องมือดัก คล้ายไชดักปลา ด้านหน้ามีทางเข้าทางเดียว ด้านท้ายมีประตูเปิด ปิดได้ เมื้อลูกกบเข้าแล้วจะออกไม่ได้ เมื่อต้องการจะใช้งานนำเครื่องมือนี้ ให้ฝังดินให้พื้นล่างเสมอกับผิวดิน ปิดด้วยหญ้า ราดน้ำพอชุ่ม ด้านหน้าปรับผิวดินให้ลื่น ภายใน เครื้องมือดักใส่อาหารล่อ ลูกกบจะเข้าไปกินอาหารในตอนกลางคืน ตอนเช้าจึงรวบรวมลูกกบ ที่ได้ 1.2 การเลี้ยงลูกกบ ภายหลังจากลูกอ๊อดเจริญกลายเป็นกบแล้ว จะดำเนินการ อนุบาลจนกระทั่งเติบโตได้ขนาด จึงปล่อยลงบ่อเลี้ยง ลูกกบที่ปล่อยลงบ่อเลี้ยงนี้นิยมลูกกบ ที่มีขนาด 3-5 เชนติเมตรขี้นไป หรือถ้ารวบรวมจากธรรมชาติก็ต้องมีขนาดที่ทราบแน่นอนแล้ว ว่าเป็นลูกกบ 2. ลูกกบจากโรงเพาะฟัก เป็นวิธีการเลี้ยงที่ดีที่สุด เพราะจะได้ผลผลิตมากและแน่นอน นอกจากนี้ต้นทุนยังต่ำ สามารถลดปัญหาการบอบช้ำจากการลำเลียงลูกกบจากธรรมชาติได้อีกด้วย วิธีนี้ลูกกบจะได้มา โดยการนำเอาพ่อพันธุ์และแม่พันธุ์ที่มีลักษณะดีมาผสมกันในบ่อผสมพันธุ์ แลัวนำไข่ท็่ได้มาฟ้กใน บ่อเพาะฟกเพื้อให์ไดัลูกกบ แล้วจึงนำไปอนุบาลต่อในภายหลัง 3. บ่อเลี้ยงกบ ข้อควรคำนึงในการสร้างบ่อเลี้ยงกบ 1. ควรอยู่ใกล้บ้านและสะดวกต่อในการดูแล 2. อยู่ใกล้แหล่งน้ำที่มีคุณภาพดี เพียงพอตลอดการเลี้ยง 3. เป็นพื้นที่สูงหรือที่ดอนเพื่อป้องกันปัญหาน้ำท่วม 4. ห่างไกลจากแหล่งชุมชนหรือบริเวณที่มีเสียงอึกทึกรบกวน 5. อยู่ใกล้แหล่งจำหน่ายอาหารกบ 6. สะดวกในการจับจำหน่าย การสร้างบ่อเลี้ยงกบ บ่อเลี้ยงกบควรจะสร้างด้วยคอนกรีต หรือวัสคุอี่น ๆ ที่มีความแข็งแรงพอสมควร สามารถป้องกันไม่ให้กบหนี และป้องกันศัตรูจากภายนอกไม่ให้เข้าไปทำลายกบได้ บ่อเลี้ยง กบที่ดีควรมีลักษณะดังนี้คือ 1. บ่อรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ควรมีความกว้าง 5 เมตร ยาว 10 เมตร ส่วนบ่อกลม ควรมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 2.5 เมตร 2. บ่อรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าทำชานบ่อทางด้านกว้างทั้ง 2 ด้านให้ชานบ่อยาว 30 เชนติเมตร กว้าง 1.5 เมตร โดยให้ชานลาดเอียงสู่กลางบ่อ ส่วนทางด้านยาวทำ ลาดเอียงสู่ท่อระบายน้ำ ส่าหรับบ่อกลมพื้นบ่อควรลาดเอียงสู่จุดศูนย์กลางของบ่อซึ่งเป็น ที่ระบายน้ำทิ้ง มีดวามลึก ประมาณ 12 เซนติเมตร 3. คันบ่อ ควรสูงอย่างน้อย 60 เซนติเมตร และกั้นด้วยตาข่ายเพื่อป้องกัน กบกระโดดออกจาก บ่อเลี้ยง 4. หลังคา ควรมีหลังคาคลุมบ่อเลี้ยงอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของเนื้อที่บ่อ หลังคาจะช่วยบดบัง แสงแดดและป้องกันมิให้กบตกใจด้วย สำหรับการสร้างบ่อเลียงกบด้วยคอนกรีตนั้น หลังจากการสร้างบ่อเสร็จน้ำในบ่อ จะมีสภาพ เป็นด่างมาก ยังไม่เหมาะที่จะใช้เลี้ยงกบ ให้แก้ไขโดยใช้สารส้มหนัก 1 กิโลกรัม ต่อน้ำนบ่อ 1 ลูกบาศก์เมตร แช่ทิ์งไว้ 3-4 วัน จึงถ่ายน้ำทิ้งแล้วขัดให้สะอาดด้วยแปรง ตากบ่อให้แห้งเติมน้ำใหม่ลงไปก็เริ่มใช้เลี้ยงกบได้ ข้อควรระวังดืออย่าตากบ่อคอนกรีต ไว้นานจะทำให้บ่อแตกร้าวได้ การสร้างบ่อในรูปแบบต่างๆ ตามกำลังทุนของเกษตรกรแต่ละราย ซึ่งสภาพโดยทั่วไป ก็ไม่แตกต่างกันมากนัก ทั้งนี้เกษตรกรยังสามารถเลือกรูปแบบการสร้างบ่อ ตามที่ตนเองถนัดได้อีกด้วย แต่ประการที่สำคัญก็คือ บ่อเลี้ยงกบที่สร้างนั้นจะต้องมีการถ่ายเท น้ำได้ สะดวก แสงแดดส่องถึง ทำความสะอาดง่ายและอยู่ใกล้ต่อการดูแล เป็นต้น การเลี้ยงกบในบ่อซีเมนต์เป็นรูปแบบที่นิยมเลี้ยงกันมากที่สุด สะดวกในการเปลี่ยนถ่ายน้ำ ทำความสะอาดบ่อ ควบคุมโรครวมถึงการจับ บ่อเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีพื้นที่ที่เป็นพื้นบกสำหรับกบอาศัยอย่างน้อย 2/3 ของบ่อ ที่เหลือเป็นพื้นน้ำ การคัดเลือกพ่อพันธุ์และแม่พันธุ์กบ พันธุ์กบโดยทั่วไปนั้น ขนาดที่เหมาะสมส่าหรับการผสมพันธุ์คือ มีน้ำหนัก 300-700 กรัม อายุ 12-16 เดือนขึ้นไป โดยมีไข่แก่และน้ำเชื้อดี พ่อพันธุ์ แม่พันธุ์กบที่ดีควรมีลักษณะดังนี้คือ 1. มีสภาพสมบูรณ์ในระบบการผสมพันธุ์ 2. มีอัตราการเติบโตปกติสม่ำเสมอ 3. เลี้ยงบำรุงด้วยอาหารอย่างดี 4. ไม่ควรได้รับการกระทบกระเทือนที่รุนแรง 5. ไม่มีบาดแผลตามลำตัว 6. ไม่มีโรคและพยาธิเบียดเบียน 7. มีรูปร่างสมส่วนตามสายพันธุ์ 8. มีอายุถึงขั้นสมบูรณ์เพศ การผสมพันธุ์กบ 1. การผสมพันธุ์ในฤดูผสมพันธ์ ส่วนมากในคืนแรกหรือคืนที่ 2 หลัจงจากฝนตก กบจะทำการผสมพันธุ์ วางไข่แต่ อาจยึดเยื้อไปได้อีก โดยจะผสมพันธุ์วางไข่หลังจากฝนตกประมาณ 5-7 วัน เมื่อเลือกกบ ที่มีลักษณะดีแล้วให้นำมาปล่อยในบ่อผสมพันธุ์ในอัตราตัวผู้ 2 ตัวต่อตัวเมีย 10 ตัว (ตัวผู้กับตัวเมียมีขนาดเท่ากัน) ระดับน้ำในบ่อลึกประมาณ 10-15 เซนติเมตร ภายในบ่อ ใส่พวกสาหร่ายลงไปด้วยพอประมาณ รักษาระตับน้ำให้คงที่ตลอดเวลา ในช่วงนี้งดให้ อาหารประมาณ 2-3 วัน ถ้ายังไม่มีฝนตกให้เปลี่ยนน้ำใหม่และอาจพ่นน้ำในบ่อผสมพันธุ์ ไห้เหมือนกับฝนตก หลังจากนันกบก็จะผสมพันธุ์และวางไข่ในเวลาเช้ามืด ภายในบ่อผสมพันธุ์จะใส่พันธุ์ไม้น้ำด้วย 2. การผสมพันธุ์นอกฤดู ได้มีผู้คิดค้นและทดลองปฎิบัติกันหลายวิธี เช่น เมื่อเข้าสู่ฤดูแล้งจะเติมน้ำจนเต็ม บ่อเลี้ยงกบ และฉีดน้ำให้กบชุ่มชื้นอย่างน้อย 2 วันต่อครั้ง แล้วถ่ายน้ำออกปล่อยให้บ่อแห้ง ประมาณ 2-3 วัน เมื่อบ่อแห้งดีแล้วจีงทำการคลุมหลังคาให้ร่มครึ้มอย่างเดิมอีกครั้ง หลังจาก นั้นฉีดน้ำให้บ่อกบ ชุ่มชื้น 6-7 วันติดต่อกัน แล้วฉีดน้ำต่ออีก 15 นาที สังเกตว่าในตอน กลางคืนกบจะร้อง พอเช้าให้ฉีดน้ำในตอนเที่ยงและบ่ายครั้งละครี่งธั่วโมง หลังจากนั้นใน เวลาประมาณ 4 นาฬิกา ถึง 5 นาฬิกาของวันรุ่งขึ้น กบก็จะจับคู่ผสมพันธุ์และวางไข่ จากนั้นก็จะแยกกันไปหลบในที่อาศัยผู้เลี้ยงก็จะสามารถจับพ่อและแม่พันธุ์คืนสู่บ่อเลี้ยงเดิมได้ กรณีดังกล่าวนีค่อนข้างยุ่งยาก ทางที่ดีควรแยกเลี้ยงพ่อและแม่พันธุ์กบเมื่อต้องการจะเพาะก็คัดพ่อพันธุ์กบที่มีน้ำเชื้อดีและแม่พันธุ์ที่มีไข่แก่ลงบ่อเพาะที่เตรียมไว้ดัง ได้กล่าวแล้วข้างต้น กบจะผสมพันธุ์วางไข่ในคืนแรกหรือคืนที่ 2 ถ้ากบไม่วางไข่จะต้อง เปลี่ยนน้ำใหม่อีกครั้ง กบอาจผสมพันธุ์วางไข่ได้ แต่ถ้ากบยังไม่วางไข่ก็ต้องเปลี่ยนพ่อและแม่พันธุ์ไหม่ สภาวะแวดล้อมกับการผสมพันธุ์กบ ในธรรมฮาติกบจะผสมพันธุ์และวางไข่ในฤดูฝน กบจะวางไข่ในบริเวณที่ มีน้ำตื้น มีพันธุ์ไม้น้ำขึ้นอยู่อย่างหนาแน่นพอสมควร ปัจจัยที่มีผลเกี่ยวข้องต่อการ ผสมพันธุ์ของกบได้แก่ 1. อุณหภูมิ อุณหภูมิที่เหมาะสมต่อการผสมพันธุ์และการวางไข่ของ กบต้องไม่ต่ำกว่า 25 องศาเชลเชียส และไม่ควรมีอุณหภูมิที่สูงเกินไป โดยปกติอุณหภูมิในประเทศไทยจะ มีความเหมาะสมดีอยู่แล้ว 2. แสงสว่าง เมี่อกบไข่แล้วหากแสงสว่างไม่เพียงพอ แม่กบจะไม่ ยอมผละจากไข่จะยังคงเฝ้าและดูแลไข่ของตน และในกรณีของการฟักไข่ ไข่ที่อยู่ในที่ร่มแสงแดดส่องไม่ถึงก็จะไม่ค่อยฟักออกเป็นตัวเช่นกัน 3. ความชื้น โดยสัญชาตญาณกบจะไม่วางไข่ในที่แล้ง กบจะไข่ ภายหลังฝนตาหรือระหว่าง ที่ฝนตก ดังนั้นในการกระตุ้นให้กบผสมพันธุ์และ วางไข่โดยวิธีการฉีดโปรยให้เหมือนกับมีฝนตก จะช่วยให้กบผสมพันธุ์และ วางไข่ดีขั้น 4. หลังจากผสมพันธุ์แล้ว 2-3 วัน ไข่กบที่จมอยู่ก้นบ่อก็จะค่อยๆลอยขึ้นพร้อม ๆ กัน มีวุ้นหุ้ม โดยรอบ เพื่อช่วยปัองกันความร้อน และช่วยรักษาอุณหภูมิให้เหมาะสมกับาารฟักเป็นตัว และยังช่วยปัองกันมิให้เชื้อโรคเข้าทำลายไข่ ทั้งยังทำให้ไข่อยู่รวมกันเป็นกลุ่มก้อนอีกด้วย การอนุบาลลูกกบ การอนุบาลลูกกบจะแบ่งเป็น 2 ระยะ 1. การอนุบาลลูกกบระยะแรก (ลูกอ๊อด) ให้ปฎิบัติดังนี้ 1.1 หลังจากไข่กบฟักออกมาเป็นตัวแล้วลูกกบจะมีลักษณะเหมือนลูกปลาให้รีบช้อน ลูกกบมาปล่อยลงเลี้ยงในบ่ออนุบาลระยะแรกก่อนที่ถุงไข่แดงที่ติดมากับตัวลูกกบจะยุบหมด ส่าหรับจำนวนลูกกบที่จะปล่อยนั้นประมาณ 2,000 ตัวต่อตารางเมตร 1.2 การให้อาหาร ได้แก่ไรแดงและอาหารปลาอย่างผงหรือไข่ตุ๋น ซึ่งควรเตรียมไว้ ก่อนในบ่อ พอถุงไข่แดงยุบลูกกบก็สามารถกินอาหารได้เลย 1.3 การถ่ายเทน้ำ ควรกระทำทุกวัน วันละ 50-70 เปอร์เช็นต์ของจำนวนน้ำในบ่อทั้งหมด 1.4 ควรให้อากาศกับน้ำด้วยเพื้อให้น้ำมีสภาพสะอาดจะทำให้ลูกกบกินอาหารได้มาก 

แสดงความคิดเห็นที่ 0-0 จากทั้งหมด 0 ความคิดเห็น

หมวดหมู่สินค้า

ช่างติดฉากกั้นห้องกรุงเทพและปริมณฑล [27]
ช่างติดฉากกั้นภาคเหนือ [0]
ช่างติดฉากกั้นห้องภาคกลาง [0]
ช่างติดฉากกั้นห้องภาคใต้ [0]
ช่างติดฉากกั้นห้องภาคอีสาน [0]
ร้านซักผ้าม่านภาคอีสาน [0]
ร้านซักผ้าม่านภาคเหนือ [0]
ร้านซักผ้าม่านภาคกลาง [0]
ร้านซักผ้าม่านกรุงเทพเขตปริมณฑล [0]
รับติดตั้งรางน้ำภาคอีสาน [0]

สมาชิก

สถิติร้านค้า

หน้าที่เข้าชม482,921 ครั้ง
ผู้ชมทั้งหมด361,025 ครั้ง
เปิดร้าน3 ต.ค. 2559
ร้านค้าอัพเดท3 ก.ย. 2568

ติดต่อร้านค้า

0610347479
รายการสั่งซื้อของฉัน
เข้าสู่ระบบด้วย
เข้าสู่ระบบ
สมัครสมาชิก

ยังไม่มีบัญชีเทพ สร้างบัญชีใหม่ ไม่มีค่าใช้จ่าย
สมัครสมาชิก (ฟรี)
รายการสั่งซื้อของฉัน
ข้อมูลร้านค้านี้
ร้านติดตั้งฉากกั้นแอร์ กั้นห้อง ต่อเติมบ้าน
ติดตั้งฉากกั้นแอร์ กั้นห้อง ต่อเติมบ้าน
รับออกแบบติดตั้งผ้าม่านทุกประเภท ม่านจีบ ม่านพับ ม่านตอกตาไก่ ม่านยก ม่านหลุยห์ ม่านปรับแสง มู่ลี่ ฉากกั้นห้อง วอลล์เปเปอร์ รับซักผ้าม่าน รับเย็บผ้าม่าน จำหน่ายรางโชว์ รางแวร์ไซน์ จำหน่ายอุปกรณ์
เบอร์โทร : 0610347479
อีเมล : dechobob@gmail.com
ส่งข้อความติดต่อร้าน
เกี่ยวกับร้านค้านี้
สินค้าที่ดูล่าสุด
ดูสินค้าทั้งหมดในร้าน
สินค้าที่ดูล่าสุด
บันทึกเป็นร้านโปรด
Join เป็นสมาชิกร้าน
แชร์หน้านี้
แชร์หน้านี้

TOP เลื่อนขึ้นบนสุด
พูดคุย-สอบถาม